จากสถิติในประเทศไทย ปี 2555 คนไทยเสียชีวิตจากโรคนี้เป็นอันดับ 2 โรคนี้ส่วนใหญ่เกิดจากสาเหตุ โรคหลอดเลือด-แดงแข็ง คอเลสเตอรอลสูง ไตรกลีเซอไรด์สูง และโรคไต โรคความดันโลหิตสูงยังเป็นปัจจัยเสี่ยงทำให้เกิดโรคหัวใจ โรคอัมพฤกษ์-อัมพาต โรคความดันโลหิตสูงเป็นภัยเงียบที่คุกคามชีวิต เนื่องจากไม่มีอาการเตือน เราจะทราบว่าเป็นหรือไม่ต้อง วัดค่าความดันโลหิตในช่วงเวลาพักผ่อน
ค่าความดันโลหิต คนปกติจะมีค่าไม่เกิน 120/80 มิลลิเมตรปรอท
ความดันตัวบน ค่าอยู่ที่ 100-140 มิลลิเมตรปรอท (ซิสโทลิก)
ความดันตัวล่าง ค่าอยู่ที่ 60-90 มิลลิเมตรปรอท (ไดแอสโทลิก)
ถ้าค่าความดันโลหิตเกิน 140 และ 90 จัดว่าความดันโลหิตสูง
อาการ ผู้มีความดันโลหิตสูงมักจะมีอาการปวดศีรษะ ปวดมึนงง ปวดมากเวลาถ่ายอุจจาระ เหนื่อยง่าย ถ้าเป็นมากจะคลื่นไส้ อาเจียน เลือดกำเดาไหล ตามัว แน่นหน้าอก หายใจหอบ
การรักษาปัจจุบัน แพทย์จะจ่ายยาลดความดันโลหิตให้แก่คนไข้ และต้องกินยาลดความดันไปตลอด บางครั้งต้องเพิ่มปริมาณยามากขึ้นถึงจะลดความดันโลหิตสูงได้ การใช้ยาในการลดความดันโลหิตสูงมีผลข้างเคียงมากมาย เช่น ผลทำลายตับ ไต ต่อมหมวกไต และเสื่อมสมรรถนะทางเพศ ถึงขึ้นร้ายแรงคือฟอกไต
ก่อนอื่นต้องหาสาเหตุให้พบว่าไตมีปัญหาหรือไม่ หรือเกิดจากเบาหวาน การลดความอ้วน เครียด หลอดเลือดอุดตัน คอเลสเตอรอลสูง ไตรกลีเซอไรด์สูง หรือป่วยเป็นโรคหัวใจ ปัจจัยต่างๆ เหล่านี้ทำให้เกิดความดันโลหิตสูง ต้องรีบแก้ไขโดยด่วน
ผู้ป่วยเคยตั้งคำถามๆ ตัวเองหรือไม่กินยามากี่ปี เพิ่มปริมาณยาไหม? เพิ่มตัวยาอื่นอีกหรือไม่ ร่างกายเป็นอย่างไร แล้วต้องกินยาไปตลอดหรือไม่ ทราบหรือไม่จะมีผลข้างเคียงตามมาอย่างไร แท้จริงแล้วการกินยาโดยไม่แก้ไขปรับเปลี่ยนอาหารการกิน และความเคยชินในชีวิตประจำวัน ก็ไม่สามารถแก้ไขโรคความดันโลหิตสูงนี้ได้ การใช้หลักผสมผสานโดยการใช้ยากับหลักโภชนาการ น่าจะเป็นวิธีที่ดีที่สุด แล้วค่อยๆ เลิกการใช้ยาได้เอง
อาหารที่ควรงดเว้นหรือหลีกเลี่ยง
- ลดเกลือ (โซเดียม) เพราะโซเดียมทำหน้าที่ควบคุมการกระจายตัวของน้ำในส่วนต่างๆ ของร่างกาย และหากมีโซเดียมมากเกินไปจะทำให้เซลล์เกิดการบวมน้ำ หรืออาการบวมของเซลล์ โดยเฉพาะไตจะต้องทำงานหนักมาก ที่จะขับน้ำส่วนเกินออกไป แล้วยังมีโซเดียมแฝง เช่น โมโนโซเดียมกลูตาเมต (ผงชูรส) โซเดียมไบคาบอเนท (ผงฟู) เครื่องปรุงรสแต่งอาหาร ซีอิ๊ว น้ำปลา ฯลฯ ล้วนมีโซเดียมสูง
- ลดน้ำตาล เพราะทำให้เลือดเป็นกรด และเลือดข้น ไปที่ส่วนไหนของร่างกายจะเกิดการอักเสบบวมไต หลอดเลือดอุดตันได้
- การปิ้ง ทอด ย่าง การผ่านความร้อนสูงเกิดอนุมูลอิสระในอาหารทั้งไขมัน โปรตีน คาร์โบไฮเดรต
- แป้งขัดขาวในอุตสาหกรรมอาหาร เช่น ซาลาเปา ปาท่องโก๋ เบเกอรี่ คุกกี้ เค้ก ฯลฯ จะใช้ไขมันไม่ดี เช่น เนยขาว ครีมเทียม เนยเทียม มาการีน สาเหตุของหลอดเลือดอุดตัน ถ้ากินควรเพียงอาทิตย์ละไม่เกิน 2 ครั้ง ๆ ละน้อยๆ
- ถั่วลิสงและมะม่วงหิมพานต์ ถั่วพิตาชิโอ จะทำให้เกิดความดันโลหิตสูงอย่างรวดเร็ว และไม่ลดลงหรือลงยาก
- เนื้อสัตว์ ยกเว้นเนื้อปลา แต่ให้กินได้วันละไม่เกิน 100 กรัม ก็พอ
- น้ำมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน (โอเมก้า 6) มีอยู่ในน้ำมันทานตะวัน น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันข้าวโพด ทำให้เกิดความไม่สมดุลของโอเมก้า 3: โอเมก้า 6 เกิดการอักเสบในระดับเซลล์
อาหารจานโปรด
- เซอราลี่ (คื่นช่ายยักษ์) 1 ต้น (ซอยเป็นแว่นเล็กๆ)
- มะเขือเทศ 5 ลูก (ฝานครึ่งลูก)
- หอมหัวใหญ่ 1 หัว (ฝานบางๆ )
- ปลากระป๋อง 1 กระป๋อง
- พริก 2 เม็ด (ซอย)
- มะนาว 1 ลูก (บีบน้ำ)
นำยำคลุกเคล้ารวมกัน ทานกับข้าวกล้องหรือกับสลัดผักก็ได้
เซอราลี่ มีฤทธิ์ลดความดันโลหิตสูงดีที่สุด
มะเขือเทศ,หอมหัวใหญ่ มีสารต้านทานอนุมูลอิสระได้ดี